ทันตกรรมรักษารากฟัน
มีอาการแบบนี้รากฟันอาจกำลังร้องเตือน! เริ่มจากอาการ ปวดฟัน ไม่ว่าจะปวดน้อย หรือปวดมาก แสดงว่าฟันกำลังจะบอกอะไรเราอยู่ครับ อาการต่อมาคือฟันมีสีคล้ำขึ้น และยิ่งเคยมีประวัติเคยหกล้มฟันกระแทกมาด้วยยิ่งมีความเสี่ยงครับ ปัญหาต่อมาก็คือปัญหาอาการเหงือกบวม เพราะถ้ารากฟันซี่นั้นมีปัญหามาก ก็อาจจะทำให้เหงือกบวมออกมาจนทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน และอีกอาการหนึ่งที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังมีปัญหารากฟันก็คือ มีอาการเสียวฟันทุกครั้ง เสียวมากจนทนไม่ไหว ซึ่งจะเกิดทุก ครั้งที่ดื่มน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด ถ้ามีสัญญาณเหล่านี้ต้องระวังให้มากครับ เพราะแสดงว่ารากฟันกำลังมีปัญหาจริง ๆ แล้ว และถ้าไม่ทำการรักษาให้ทันท่วงที ก็อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปมากกว่าเดิม และอาการต่าง ๆ ที่เป็นอยู่นี้ก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นครับ
Table of Content
- การรักษารากฟันคืออะไร?
- ข้อดีของการรักษารากฟัน
- ข้อเสียของการรักษารากฟัน
- อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รากฟันของเรามีปัญหา?
- วิธีการรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเอง
- บริการรักษารากฟัน และ ผลิตภัณฑ์ดูแลรากฟันของ ARTISTRY Clinic
- ขั้นตอนการรักษารากฟันเบื้องต้น
- วิธีเตรียมตัวก่อนรักษารากฟัน และดูแลรักษาหลังรักษารากฟัน
- วิธีเตรียมตัวก่อนรักษารากฟัน
- วิธีดูแลรักษาหลังรักษารากฟัน
การรักษารากฟันคืออะไร?
ขั้นตอนการรักษารากฟันแบบคร่าว ๆ จะเริ่มจากการที่หมอจะจัดการกำจัดเนื้อเยื่อในโพรงฟันและคลองรากฟันที่มีการติดเชื้อและอักเสบออกไป หลังจากนั้นก็จะทำความสะอาดในคลองรากฟันกำจัดเชื้อโรคออกให้หมด ก่อนที่จะปิดงานด้วยการอุดคลองรากฟัน และซ่อมแซมตัวฟันขึ้นมาใหม่เพื่อทำให้ฟันกลับมามีความแข็งแรงและสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติครับ
ข้อดีของการรักษารากฟัน
- ในกรณีที่ฟันซี่นั้นเป็นฟันที่มีความสำคัญทั้งต่อความสวยงาม และมีความสำคัญต่อการบดเคี้ยว การรักษารากฟันก็จะช่วยรักษาฟันซี่นั้นให้คงอยู่ใช้งานต่อไปได้
- ยังคงสภาพและรักษารูปร่างของเหงือกเอาไว้ได้
- อาการปวดหรือบวมจะเกิดน้อยกว่าการถอนฟัน
ข้อเสียของการรักษารากฟัน
- กรณีที่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง จำเป็นต้องใช้เวลารักษา 2 - 4 ครั้ง
- มีราคาสูงกว่าการถอนฟันมาก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รากฟันของเรามีปัญหา?
ถ้าหมอตรวจแล้วพบว่าฟันของคนไข้ยังสามารถรักษารากฟันได้ ไม่จำเป็นต้องถอนออกอย่างเดียวหมอก็จะขอแนะนำให้คุณทำการรักษารากฟันเลยครับ เพราะมีประโยชน์มากกว่าจริง ๆ เนื่องจากการรักษารากฟันก็จะช่วยทำให้การบดเคี้ยวของคนไข้กลับมาดีเหมือนเดิม กัดแทะอาหารได้ตามปกติและในส่วนของรูปร่างก็ยังคงเป็นฟันที่มีความเป็นธรรมชาติมีความสวยงามยังรักษาฟันจริงของตัวเองเอาไว้ได้ ยังไม่ต้องใส่ฟันปลอมใด ๆ ทั้งสิ้น และบางครั้งถ้าคุณรักษารากฟันช้าเกินไปจากที่เจ็บเพียงแค่ซี่เดียว คราวนี้ก็อาจจะเป็นการลุกลามบานปลาย ฟันหรือเหงือกบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงก็อาจจะโดนทำร้ายไปด้วยครับ
- ฟันผุหนักมาก
- มีปัญหาโรคเหงือก
- ฟันได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จนทำให้ฟันแตกหัก จนถึงโพรงประสาทฟัน
- นอนกัดฟันอย่างรุนแรง
- มีพฤติกรรมการเคี้ยวที่รุนแรง
เมื่อใดก็ตามที่ฟันมีอาการร้าว จนเชื้อโรคสามารถแทรกตัวเข้าไปในส่วนของโพรงประสาทฟันได้ เมื่อนั้นแหละครับ รากฟันจะมีปัญหาและคนไข้ก็จะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
วิธีการรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเอง
การรักษารากฟันด้วยตนเองนั้นไม่สามารถทำได้ครับ เพียงแต่จะมีวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดในระหว่างที่รอการรักษา ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจที่จะถอนฟันซี่นั้นออกเลย หรือตัดสินใจที่จะรักษารากฟันก็ตาม หมอขอแนะนำวิธีบรรเทาปวดด้วยการประคบร้อน ถ้าฟันและเหงือกในพื้นที่ ๆ ที่มีปัญหามีอาการบวมชัดเจน ให้ใช้นำผ้าชุบน้ำร้อนมาประคบตรงบริเวณที่ปวดบวมจากภายนอกช่องปาก จะช่วยบรรเทาอาการปวดไปได้ครับ โดยมีตัวยาที่หมอแนะนำ ดังนี้
- ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาแก้ปวดลดไข้ที่มีติดอยู่แทบทุกบ้านกันอยู่แล้ว มักใช้บรรเทาอาการปวดฟันที่ไม่รุนแรง ปริมาณยาที่เหมาะสม คือ 10 – 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อ 1 ครั้ง
- ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และยานาพรอกเซน (Naproxen) เป็นยาแก้ปวดและลดการอักเสบ จะเป็นยาที่เหมาะกับคนไข้ที่มีอาการปวดฟันมาก ๆ เท่านั้น เรียกได้ว่าปวดจนแทบทนไม่ไหวนั่นแหละครับ
นอกจากยาแก้ปวดและลดการอักเสบเหล่านี้แล้ว ก็ยังมียาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drug) หรือ NSAIDs อีกหลายตัวเลยครับ เช่น
- ไดโคลเฟแนก (Diclofenac)
- คีโตโปรเฟน (Ketoprofen)
- อินโดเมทาซิน (Indomethacin)
สามารถทานเพื่อแก้ปวดรากฟันได้เช่นเดียวกันครับ
หมอพยายามเน้นย้ำกับคนไข้อยู่เสมอว่าถ้ามีปัญหากับรากฟันให้รีบมาหาหมอและทำการรักษา เพราะไม่เช่นนั้นอาจลุกลามจนกลายเป็นฝีที่ปลายรากฟัน ลามไปในกระดูกขากรรไกร ถ้าเป็นในกรณีนี้คนไข้จะมีอาการปวดมาก และการรักษาก็จะยากขึ้นด้วยครับ
บริการรักษารากฟัน และ ผลิตภัณฑ์ดูแลรากฟันของ ARTISTRY Clinic
ขอข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ
ขั้นตอนการรักษารากฟันเบื้องต้น
การรักษารากฟันจะแบ่งเป็น 2 วิธีครับ วิธีที่ 1 คือการรักษาด้วยวิธีปกติ ส่วนวิธีที่ 2 คือ การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดปลายรากฟัน กรณีนี้จะใช้ก็ต่อเมื่อวิธีที่ 1 ไม่ได้ผล หมอจะมาแนะนำขั้นตอนการรักษารากฟันแบบเบื้องต้นให้ทำความเข้าใจกันก่อน
1.เริ่มจากการกำจัดเนื้อฟันที่ติดเชื้อออกไป
2.ทำความสะอาดรากฟัน
3.ใส่ยาลงไปในคลองรากฟัน
4.ปิดรากฟันด้วยวัสดุอุด แต่จะเป็นการอุดแบบชั่วคราวเท่านั้นครับ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
5. สำหรับคนไข้ในบางเคสถ้าตรวจดูแล้วพบว่า มีหนองบริเวณปลายรากฟัน ก็จะต้องใช้เวลาหลายครั้งในการทำความสะอาด และใส่ยาเข้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าการติดเชื้อจะหายไปครับ
6. และถ้าเช็กแล้วว่าไม่มีการอักเสบแล้ว หมอก็จะทำการอุดปิดคลองรากฟันแบบถาวร หลังจากนั้นก็จะทำการซ่อมแซมตัวฟันต่อไป
7. ขั้นตอนการซ่อมแซมฟันนี้ก็สามารถทำได้หลายวิธีเลยครับ เช่น การอุดฟัน การใส่เดือยฟัน ครอบฟัน ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเลือกวิธีไหน หมอก็จะประเมินให้จากการที่เช็กสภาพเนื้อฟันที่เหลืออยู่ครับ
วิธีเตรียมตัวก่อนรักษารากฟัน และดูแลรักษาหลังรักษารากฟัน
นอกเหนือไปจากการที่หมอใส่พลังรักษารากฟันให้กับคนไข้สุดฝีมือแล้ว การดูแลรักษาตัวเองหลังจากที่ทำการรักษารากฟันไปแล้วก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลยนะครับ เพราะว่าการดูแลตัวเองที่ดี จะช่วยทำให้อาการปวดอาการบวมต่าง ๆ ทุเลาลงได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อป้องกันปัญหาฟันผุ ปัญหาโรคเหงือกต่าง ๆ เกิดขึ้นมาซ้ำ คนไข้เองก็จะต้องใส่ใจดูแลรักษาทำความสะอาดช่องปากของตัวเองในทุก ๆ วัน เพื่อที่ฟันจะได้แข็งแรง
วิธีเตรียมตัวก่อนรักษารากฟัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนวันทำการรักษารากฟันทำใจให้สบาย ๆ นอนหลับให้สนิทอย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมง ไม่ต้องตื่นเต้นนะครับเพราะว่าหมอมือเบามาก
- งดแอลกอฮอล์ และบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชม. เพื่อป้องกันเลือดออกมากเกินไปครับ และจะทำให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย
- หาอะไรทานมาก่อนนะครับ เพราะในขั้นตอนการรักษาจะต้องมีการฉีดยาชา หลังจากที่ทำการรักษาแล้วจะกินอาหารได้ลำบากมาก ๆ แนะนำให้ทานอาหารเบา ๆ ก่อนรักษาสัก 2-3 ชม.
วิธีดูแลรักษาหลังรักษารากฟัน
หลังจากที่หมอทำการรักษารากฟันให้คนไข้แล้ว คนไข้ก็จะต้องกลับไปดูแลตัวเองให้ดี ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรก จะยังคงมีอาการปวดหรืออาการตึงอยู่เป็นเรื่องปกติครับ ขอให้อดทนสักนิด หรือถ้ารู้สึกปวดมาก ๆ ก็ให้ทานยาแก้ปวดได้
- สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติครับ เพียงแต่ขอให้เลือกสักนิด แนะนำว่าให้เลือกอาหารที่ทานง่ายไม่ควรทานอาหารที่ต้องเคี้ยวเยอะ มีความแข็งหรือมีความเหนียวมากจนเกินไป และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัดหรือเย็นจัดมากจนเกินไป และแน่นอนว่าให้ทานอาหารหลังจากที่ยาชาหมดฤทธิ์ก่อน เพื่อป้องกันการกัดลิ้น หรือกัดกระพุ้งแก้มของตัวเองขณะที่เคี้ยว
- คุณอาจมีอาการตึง ๆ หรือมีอาการปวดอยู่ประมาณ 2-3 วันแรก แต่หลังจากนั้นอาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงครับ
- ในกรณีที่ปวดมากคนไข้สามารถทานยาแก้ปวด เช่น Paracetamol หรือ Ibuprofen ได้ แต่ทางคลินิกก็จะมีการจัดชุดยาให้คนไข้อยู่แล้วครับ
- และพยายามรักษาช่องปากให้สะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักทานอาหารเสร็จจะได้ไม่เกิดการหมักหมม
รีวิวผลลัพธ์ที่ลูกค้า ARTISTRY Clinic เคยรักษารากฟันกับเรา
การรักษารากฟัน เป็นวิธีรักษาที่ทำให้คนไข้หายได้ตลอดชีวิตเลยครับ แต่ทั้งนี้หมอก็มีคำเตือนที่อยากจะมาแนะนำให้คนไข้ได้ระมัดระวังกันนั่นก็คือ ในช่องปากของเราถ้าเราละเลยใส่ใจไม่ดูแล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับโรคฟัน ปัญหาฟันผุหรือโรคเหงือกก็ สามารถเกิดขึ้นได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่ทำการรักษาไปแล้ว หรือบริเวณที่ยังไม่เคยทำการรักษาก็ตาม ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยภายในช่องปากของเรา ทำความสะอาดตามความเหมาะสมก็จะช่วยทำให้คุณมีสุขภาพช่องปาก และฟันที่ดีมีความแข็งแรง
ARTISTRY Clinic คลินิกที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการรักษารากฟัน
ปัญหารากฟันอย่าปล่อยไว้นานเลยครับ มันอันตรายเพราะถ้าไม่รีบรักษาเชื้อโรคและการอักเสบก็จะยังคงอยู่ และจะค่อย ๆ ลุกลามไปเรื่อย ๆ ความเจ็บปวดก็จะยิ่งทวีความรุนแรงเช่นกันครับ และเชื้อโรคที่อยู่ปลายรากก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนขยายใหญ่ขึ้น
จากเดิมจะอยู่แค่ที่ปลายราก ก็จะค่อย ๆ ลุกลามไปที่บริเวณเนื้อเยื่ออ่อน ใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าเดิมเลยทีเดียว
ARTISTRY Clinic ของเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องการรักษารากฟัน ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
หมอเฟรมมือเบา พร้อมให้คำแนะนำและดูแลแก้ไขปัญหาของคนจนกลับมาหายดี เครื่องมือได้รับมาตรฐานระดับสากล วางแผนแนวทางการรักษาอย่างละเอียดที่สุด เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด
เปิดทำการตั้งแต่ 11:00 - 20:00 น.
Line : @artistrydental
Tel : 06-5959-7215
Location : ซ.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
ถ.บางนาตราด ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ